เด็กเกิ๊น!! คู่รักวัยกระเตาะนัวเนียบนเตียง..เห็นแล้วสะเทือนใจยิ่งหนัก

          

อกอีแป้นจะแตก!!! เมื่อได้เห็นโลกโซเชียลแชร์ภาพของคู่รักในวัยเด็ก ย้ำ! ว่า...เด็กมากๆ ไม่ใช่คู่รักวัยรุ่นหรืออย่างไร โพสต์ภาพกำลังนัวเนียกันอยู่บนเตียงโดยที่ไม่สวมเสื้อผ้า! บ้างก็ใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนคู่สามี-ภรรยา แต่เป็นเวอร์ชั่นไซส์มินิ! ทำให้ชาวเน็ตต่างตั้งข้อสงสัยกันว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นการแสดง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือการแสดงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เหมาะสมที่เด็กจะแสดงพฤติกรรมซึ่งโตเกินตัวแบบนี้ งานนี้ก็ต้องรอผู้ที่ทราบข้อเท็จออกมาชี้แจงกันต่อไป











ที่มา... khaojing.com

คลิปแฉนาทีโหด หนุ่มลากปืนยาวไปจ่อยิงสุนัขตายอนาถ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองเอดีร์เน ทางตะวันตกของประเทศตุรกี ชาย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่ชายที่นั่งซ้อนท้ายจะเดินลงมา และใช้ปืนยิงไปที่สุนัขที่ยืนอยู่หลังรั้วบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
จากในคลิปชาวบ้านให้สัมภาษณ์ว่า ชายคนที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาบอกกับตนว่าจะไปฆ่าสุนัขพร้อมบอกว่าสุนัขจะตายเมื่อเขากลับมาใน 30 นาที ก่อนเกิดเหตุสยองดังกล่าว

ที่มา...khaosod.co.th

ย้อนอดีตสงคราม..คาเฟ่ จาก “เฮียเลี้ยง“ ถึง “เสี่ยสมยศ“

ในอดีต "คาเฟ่" ที่เป็นเวทีและพื้นที่ให้ตลกและนักร้อง ขึ้นแสดงสร้างชื่อเสียงและรายได้ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มี 2 คาเฟ่ใหญ่ คือ วิลล่า คาเฟ่ ของ เฮียเลี้ยง บุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล และ พระราม 9 คาเฟ่ ของ เสี่ยสมยศ สุธางค์กูร

 

เมื่อปี 2541 เฮียเลี้ยง บุญเลี้ยง เจ้าพ่อคาเฟ่เมืองไทย เจ้าของ ดาราคาเฟ่ และ วิลล่าคาเฟ่ ถูกยิงเสียชีวิต ในครั้งนั้นสังคมรวมถึงตำรวจตั้งปมสงสัยว่าการตายของเฮียเลี้ยง อาจเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในธุรกิจคาเฟ่ ชื่อของ ′สมยศ สุธางค์กูร′ จึงอยู่ในข่ายต้องสงสัยของทั้งตำรวจและสังคม แต่ต่อมาคดีเป็นที่สิ้นสุด จบลงที่ ′เฮียเลี้ยง′ ตายจากการถูกชิงทรัพย์ระหว่างจะขึ้นลิฟท์ไปหาภรรยาน้อย

 

หลังจากเฮียเลี้ยงสิ้นชีพ วิลล่าคาเฟ่ ก็ปิดกิจการ ทำให้เวทีและพื้นที่ของบรรดาตลกเหลือเพียงพระราม 9 คาเฟ่ของเสี่ยสมยศ และ พระราม 9 คาเฟ่นั้น เป็นช่องทางที่มีอำนาจต่อพวกคณะตลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นคาเฟ่ชื่อดังที่สุดท้าย ที่ยังคงเหลืออยู่

 

เมื่อปี 2541 เสี่ยสมยศ สุธางค์กูร เปิดใจกับหนังสือพิมพ์ข่าวสด ถึงกรณีที่สังคมสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าเฮียเลี้ยง รวมถึงเผยเบื้องลึกศึกคาเฟ่ ไว้อย่างน่าสนใจ ′เสี่ยสมยศ หรือ ทนายสมยศ เล่าว่า รู้จักกับเฮียเลี้ยงมานาน ตั้งแต่ปี 2527 ต่อมาก็ร่วมหุ้นกันทำคาเฟ่ด้วยกัน ช่วงนั้นผมกับเฮียเลี้ยงสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกัน จนคนล้อว่าเป็นคู่แฝด แม้แต่ผู้หญิงบางครั้งยังคนเดียวกันเลย แต่ต่อมาเกิดมีปัญหาขัดแย้งกัน จน นายสมยศ ถอนหุ้นออกมา และกลับไปเป็นทนายความอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะมาเปิดกิจการพระราม 9 พลาซ่า

 

ที่ตั้งพระราม 9 พลาซ่า เป็นที่ดินของลูกความคนหนึ่งของผมที่สนิทกัน เขาเห็นว่าผมว่างๆ ก็เสนอว่าอยากทำคาเฟ่หรือเปล่า ผมจึงทำพระราม 9 พลาซ่าขึ้นมา แต่หลังจากเปิดคาเฟ่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับ ′เฮียเลี้ยง" นายสมยศ อ้างว่า เฮียเลี้ยงหาทางกลั่นแกล้งตลอด เช่น กรณีของการลงคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง จะต้องถูกแซงหน้า ทั้งๆ ที่ผมก็ติดต่อก่อนด้วยซ้ำ

 

ส่วนกรณีแย่งตัวดารา-นักร้องอย่างรุนแรง จนถึงขั้นใช้กำลังนั้น เสี่ยสมยศ ยอมรับว่ามีจริง เช่นกรณีของ "ไชยา มิตรชัย" หรือ ตลกดังอย่าง "โก๊ะตี๋" สำหรับกรณีของ ไชยา มิตรชัย เป็นที่ฮือฮามาก เพราะถึงขั้นทั้ง 2 คาเฟ่ส่งคนไปแย่งกันอุ้มตัว โดย เสี่ยสมยศ ยอมรับว่า เคยส่งคนไปอุ้ม ไชยา มิตรชัย จริง และ เฮียเลี้ยง ก็ส่งคนไปอุ้มด้วยเช่นกัน แถมยังไปจ๊ะเอ๋กันเสียด้วย

 

"ผมเป็นคนสั่งผู้พันตึ๋ง หรือ พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ ที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ให้ไปอุ้ม ไชยา มิตรชัย เพราะไชยาไม่ยอมไปโชว์ตัวที่คาเฟ่ผม ทั้งที่รับคิวแสดงให้ที่ผมก่อน และผมก็ทุ่มโฆษณาไปหมดเป็นสิบๆ ล้าน วันนั้น นายบุญเลี้ยง ก็ส่งคนไปอุ้มไชยาด้วยเช่นกัน โดยคนของเฮียเลี้ยงไปถึงก่อน แต่ชุดของผมที่ส่งไปทีหลังเป็นชุดใหญ่กว่า ทำให้ชุดของเฮียเลี้ยงต้องกลับไป และผมก็ได้ไชยามาเล่นที่พระราม 9 พลาซ่า" เสี่ยสมยศ กล่าว

 

ทั้งนี้ หลังสิ้น "เฮียเลี้ยง" นายสมยศ ก็เป็นเจ้าพ่อผูกขาดวงการคาเฟ่ ตลก ดารา-นักร้องทุกคน ต้องอาศัยพระราม 9 พลาซ่าเป็นที่แสดงผลงานสร้างชื่อ โดย เสี่ยสมยศ เคยประกาศห้ามตลกตระกูล "เชิญยิ้ม" ขึ้นเวทีเรียกเสียงหัวเราะบนเวทีพระราม 9 คาเฟ่เด็ดขาด หรือตลกคณะใดที่ต้องการขึ้นเวที ก็ห้ามมีนามสกุล "เชิญยิ้ม" ต่อท้าย

 

กาลเวลาผ่านไป จนกระทั่งหมดยุคคาเฟ่ไป นายสมยศ หันไปเล่นการเมือง เป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ลำดับที่ 33 ควบคู่ไปกับเปิดสำนักทนายความ และชื่อของ "สมยศ สุธางค์กูร" ก็เลือนหายจากสื่อสาธารณะไปนาน จนกระทั่งปรากฎเป็นข่าวเศร้า เมื่อ เสี่ยสมยศ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต หลังรับประทานอาหารที่ภัตราคารเจ้าประจำ เมื่อช่วงคืนวันที่ 29 มิ.ย. 2558 ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่ประเทศไทยโดยบริบูรณ์...

ที่มา... bigza.com

หาดูยากมาก!...ประวัติการเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องที่คุณไม่รู้มาก่อน

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/70215.html

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

มี ประวัติการเรียนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 มาฝากเพื่อนๆ กันคะ .. ถ้าเพื่อนๆ ได้รู้ถึงประวัติการเรียน

และนิสัยรักเรียนของท่าน บอกได้เลยว่าท่านเป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียนเลยหล่ะคะ ^^

เด็กชายประยุทธ์ จันทร์โอชา มัธยมปีที่ 1 (เมื่อ 45 ปี ที่แล้ว)

ประวัติการเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของ พ.อ. (พิเศษ) ประพัฒน์ กับเข็มเพชร จันทร์โอชา มีชื่อเล่นว่า "ตู่" สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า "บิ๊กตู่" เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน หนึ่งในน้องชายคือ พล.ท. ปรีชา จันทร์โอชาแม่ทัพภาคที่ 3

การศึกษา การเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29

สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา จังหวัดลพบุรี ซึ่งนางเข็มเพชร คุณแม่ของท่านก็เป็นคุณครูอยู่ที่นั่น แต่ในปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้ได้ยุบไปแล้ว

ต่อมาได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จังหวัดลพบุรี เช่นเดียวกัน แต่เรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออกเนื่องด้วยบิดาเป็นนายทหารจำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด

เขาจึงเข้าศึกษาที่ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ภายหลังได้เข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23

จากรั้วโรงเรียนนายร้อย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รับราชการครั้งแรกในยศร้อยตรี กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ จากนั้นขยับไปยังกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และก้าวขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และว่าที่ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29

ประยุทธ์ จันทร์โอชา นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12

เอกสารใบสุทธิของเด็กชาย ประยุทธ์ จันทร์โอชา (มัธยมศึกษาปีที่ 1)

ในนั้นแสดงให้เห็นถึงประวัติส่วนตัวของเขา อีกทั้งระบุถึงการเล่าเรียน สอบได้คะแนนดีมาก ความประพฤติเรียบร้อย สุขภาพแข็งแรง

นอกจากนี้เพื่อนรุ่นเดียวกันได้ให้สัมภาษณ์ (กับทางข่าวสามมิติ ช่อง 3) ว่า บุคคลิกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไม่แตกต่างจากวัยเด็ก สมัยเรียนเลย สมัยนี้เราเห็นท่านป็นยังไง สมัยก่อนก็เป็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ท่านท่านมีอุปนิสัยที่เงียบขรึม ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตจึงต้องทำตัวเป็นพี่ที่ดี เป็นเด็กที่มีวินัยมาก เนื่องมาจาก นางเข็มเพชร จันทร์โอชา คุณแม่ของท่านเป็นคุณครูประถม ท่านค่อนข้างมีระเบียบ

คุณครูเข็มเพชร จันทร์โอชา คุณแม่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อตอนเป็นเด็กนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เคยลงสัมภาษณ์ ในคอลัมน์ เรียนดี นิตยสารชัยพฤกษ์ ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช เมื่อปี 2512 (45 ปีที่แล้ว) โดยเล่าถึง ประวัติการเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งไม่เคยได้เกรดต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์!

เมื่อถูกถามว่า "ถ้าสอบได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว จะสอบเข้าเรียนต่อที่ไหน" ท่านประยุทธ์ในวัยเด็กนั้นบอกกับผู้สัมภาษณ์ว่าเขาตั้งใจ จะเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร และหวังว่าจะได้เป็นทหารบกในอนาคต

วันว่างในวัยเด็กของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในวัยนั้นท่านใช้เวลาให้หมดไปกับหนังสือ ในวันหยุดจะไม่มีใครเห็นท่านวิ่งเล่นเหมือนที่เด็กรุ่นเดียวกันทำกัน ท่านดูหนังสือแบบทวนตั้งแต่ต้นจนจบแล้วขึ้นทวนใหม่ ทำเช่นนี้หลายๆ หน ก็จำวิชาที่เรียน และเข้าใจวิชานั้นๆ อย่างถ่องแท้ เมื่อติดขัดไม่เข้าใจวิชาอะไร ท่านก็ถามพี่ๆ ที่บ้าน

ในวันธรรมดาใช้เวลาทวนวิชาเรียนตอนหลังอาหารเย็น ไปจนถึงสี่ทุ่มจึงจะเข้านอน ตอนเช้าไม่มีเวลาดูหนังสือเพราะต้องรีบไปโรงเรียน โดยท่านประยุทธ์ในวัยเด็กนั้นบอกว่าดูหนังสือจนถึงสี่ทุ่มก็พอแล้ว เพราะเขาดูอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ต้องรีบร้อนดูตอนระยะใกล้สอบ

วิชาที่ชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวัยเด็ก

วิชาที่ถนัดเป็นพิเศษ ได้แก่คณิตศาสตร์ อังกฤษ และวิทยาศาสตร์ นอกจากจะเก่งวิชาเหล่านี้แล้ว ยังชอบเรียนวิชาพวกนี้อีกด้วยท่านให้เหตุผลว่าถ้าจะเรียนอะไรก็ตามที่ให้ได้ผล ควรจะมีใจรักในสิ่งนั้นๆ ด้วย นอกจากจะเป็นคนที่รักการเรียนเองแล้ว ประยุทธ์ยังได้รับการสนับสนุนในการเรียนจากบิดามารดา

ผลการสอบภาคกลาง ประยุทธ์ได้ 65 เปอร์เซ็นต์ กับผู้สัมภาษณ์ประยุทธ์บอกว่า การสอบทุกครั้งนั้นถึงแม้ตัวเขาจะได้เตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ขณะที่ทำการสอบมักจะตอบอย่างระมัดระวัง เมื่อทำเสร็จ แล้วจะอ่านทานว่าที่ตอบไปนั้น ตอบไปตามภูมิความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนมาหมดหรือเปล่า

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหนอนหนังสือตั้งแต่เด็ก

ท่านใบอกว่า หนังสือที่ใช้เรียนในห้องเรียนยังไม่มากพอตามความต้องการของเขาเอง เพราะฉะนั้นเขาจึงหาหนังสือจากที่อื่นๆ ที่เป็นหนังสือนอกหลักสูตรไว้อ่านเพื่อประดับความรู้ หนังสือที่อ่านเป็นประจำได้แก่ "ชัยพฤกษ์" ท่านพูดกับผู้สัมภาษณ์ว่า "ผมอ่านชัยพฤกษ์ เพราะได้ความรู้มากครับ"

"ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่หนังสือเรียนเพียงอย่างเดียว"

ถึงแม้จะเป็นคนขรึม แต่เขาก็เป็นคนมีน้ำใจ เมื่อกลับจากโรงเรียน เขามักจะช่วยพี่น้องทำงานบ้านทั่วๆ ไป เช่นรดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน แม้จะต้องทำงานบ้าง เขาก็พอใจด้วยเหตุที่ว่าความสำเร็จในชีวิตข้างหน้านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียนหนังสือแต่อย่างเดียว ถึงเขาจะมุ่งดูหนังสือมากแต่ก็ยังมีเวลาสำหรับการบันเทิง เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าจากการดูหนังสือเขาจะหยุดทันทีและหันมาดูอย่างอื่นเป็นการพักผ่อนสมองแทน เช่น ดูทีวี ดูหนังญี่ปุ่น และหนังสารคดีต่างแดน

บทสัมภาษณ์บางส่วนจาก ในคอลัมน์ เรียนดี นิตยสารชัยพฤกษ์ ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช เมื่อปี 2512 ^^

ขอบคุณข้อมูล wikipedia.org, ข่าวสามมิติ, คอลัมน์ เรียนดี นิตยสารชัยพฤกษ์ ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช เมื่อปี 2512, เพจ พลังประชาชน ,mthai

ที่มา... bigza.com

ชายอินเดียนักอนุรักษ์ ช่วยชีวิตงูและสัตว์เลื้อยคลานมาแล้วกว่า30,000ตัว

          สิ่งมีชีวิตที่คาดว่าทุกคนคงไม่ชอบนักเห็นจะเป็นงู เพราะเมื่อเห็นมันที่ไรก็รู้สึกกลัวและขนลุกไปหมด ทำให้คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นงูแล้วต้องทำการฆ่ามันในทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มันมาทำร้ายเราได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชายชาวอิเดียที่มีนามว่า วาวา ซูเรซ หันมาปกป้องพวกงูเหล่านี้และพยายามให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกมันวาวา ซูเรซ นักอนุรักษ์สัตว์ป่าอินเดีย และผู้เชี่ยวชาญเรื่องงู
ภารกิจหลักๆของเขาคือช่วยเหลือพวกงูที่หลุดเขามาอาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย
ให้กลับเขาไปอยู่ในป่า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฆ่าตาย

เชื่อกันว่าเขาได้ช่วยเหลืองูมาแล้วมากกว่า 30,000 ตัว

เขาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจากกิจกรรมอนุรักษ์ที่ทำอยู่ เขาได้ให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกันงูและพฤติกรรมของงูเพื่อสร้างความตระหนักและลดการฆ่า

วาวาได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างแพร่หลาย













ที่มา... postjung.com

วิธีดึงเห็บหมัดออกจากผิวหนัง โดยไม่ต้องเสียเลือดเลยสักหยด เพียงแค่คุณหมุนคัตตอน บัดส์ชุบออยล์

ง่ายๆ แค่มี

คัตเติ้ลบัต + ออยล์ทาผิว

ที่มา... postjung.com

ธรรมเนียมการทานสุนัขในจีน

ความทรงจำวัยเด็กของผู้สื่อข่าวบีบีซีเกี่ยวกับธรรมเนียมการทานสุนัขในจีน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีสุนัขราว 10,000 ตัวและแมวอีกจำนวนหนึ่งถูกฆ่าเพื่อมาทำเป็นอาหารในงานเทศกาลกินเนื้อสุนัขทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเพื่อฉลองวันครีษมายัน ข่าวดังกล่าวทำให้จูเลียน่า หลิว ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้หวนนึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวดในวัยเด็กเกี่ยวกับธรรมเนียมการรับประทานเนื้อสุนัขในจีน

จูเลียน่า เล่าว่าช่วงที่อายุได้ 3 ขวบเธอได้รับลูกสุนัขพันทางสีเหลืองขนปุกปุยเป็นของขวัญจากพ่อแม่หลังจากพยายามรบเร้ามานานหลายเดือน และเธอตั้งชื่อให้มันว่า “หมาน้อย” จากนั้นเธอก็ไม่ยอมห่างจากมันเลยเพราะเธอเป็นลูกคนเดียวหมาน้อยจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอ อย่างไรก็ดีเมื่อช่วง 30 ปีก่อนนั้น การมีสัตว์เลี้ยงยังไม่เป็นที่นิยมในจีน และถือเป็นพฤติกรรมของกลุ่มชนชั้นกลาง ทำให้อยู่มาวันหนึ่งจูเลียน่ากลับมาจากการซื้อของกับแม่ และพบว่าหมาน้อยถูกจับทำเป็นพะโล้ไปเสียแล้ว เธอเสียใจมากและปฏิเสธที่จะทานพะโล้ชามนั้น และไม่เคยคิดแตะต้องอาหารจากเนื้อสุนัขเลยในชีวิต
สำหรับธรรมเนียมการบริโภคเนื้อสุนัขในจีนนั้น มีมาช้านานย้อนกลับไปถึงยุคหินใหม่ที่สุนัขถูกเลี้ยงเป็นอาหารเหมือนหมู วัว แกะ ม้า และสัตว์ปีก อย่างไรก็ดีเนื้อสุนัขเป็นอาหารที่นิยมทานตามเทศกาล ถือเป็นเนื้อที่มีความพิเศษ มีสรรพคุณบำรุงร่างกายให้มีกำลังวังชาและเสริมสมรรถภาพทางเพศ แต่ในปัจจุบันการทานเนื้อสุนัขไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป และคนจีนส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่ทานเนื้อสุนัขเลย โดยข้อมูลจากกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ระบุว่า แต่ละปีมีสุนัขถูกฆ่าเป็นอาหารในจีนราว 10 ล้านตัว ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบจำนวนหมูที่ถูกฆ่าปีละราว 716 ล้านตัว
ข้อมูลจากการศึกษาบางชิ้นระบุว่า สุนัขที่ถูกนำมาทำเป็นอาหารจำนวนไม่น้อยเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกขโมยมาจากเจ้าของ โดยองค์กรพิทักษ์สิทธิสัตว์ Humane Society International บอกว่าสุนัขที่ถูกนำมาทำอาหารในงานเทศกาลกินเนื้อสุนัขที่เมืองหยูหลิน มณฑลกวางสีในสัปดาห์นี้นั้น ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกมันผ่านการรับรองว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภค หรือมาจากฟาร์มเพาะพันธุ์ เช่นเดียวกับผลการศึกษาเป็นเวลา 4 ปีขององค์กร Animals Asia ที่สรุปว่าสุนัขที่ถูกนำมาบริโภคส่วนใหญ่ในจีนเป็นสัตว์ที่ถูกขโมยมาจากท้องถนน หรือได้มาจากการวางยาเบื่อ องค์กรพิทักษ์สิทธิสัตว์ระบุว่า ปัจจุบันทางการจีนถูกกดดันมากขึ้นให้ดำเนินการปราบปรามการนำสัตว์เลี้ยงมารับประทาน ขณะที่สังคมก็เริ่มมีแนวคิดต่อต้านการทานเนื้อสุนัขอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ภาพบางภาพอาจทำให้รู้สึกสะเทือนใจ





ที่มา... postjung.com